top of page

The Foreigner

#รีวิว " The Foreigner "
#บทความนี้มีความยาวเกิน8บรรทัด


       " หนังสนุกดีนะ ดูได้เรื่อยๆ แต่อย่าคาดหวังอะไรมาก ดูให้หายคิดถึงดารายุค Golden Age สองคนนี้ก็คุ้มแล้ว <3 "

       ครั้งแรกที่เห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้เราโคตรตื่นเต้นเลย อนึ่งคือการเอานักแสดงตัวพ่อจากยุค 70s สองฟากโลก มาเล่นหนังคู่กัน ซึ่งทำให้เราคิดถึงบรรยากาศตอนที่ "ลุงเฉิน หลง"และ "ลุง เพียซ บรอสแนน" ยังหนุ่มยังแน่น ลองคิดดูว่าถ้าแกสองคนได้เล่นหนังด้วยกันตอนหนุ่ม...เจมส์ บอนด์ ฉะกับไอ้หนุ่มกังฟู คงเป็นอะไรที่โคตรเจ๋ง แต่ด้วยวัยที่ทั้งคู่อายุปาไปเลข 6 ทำให้อารมณ์ของหนังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

       ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่ได้เห็นทั้งสองคนเล่นฉากแอคชั่นระห่ำแบบที่ควรจะเป็นเหมือนตอนหนุ่มๆ แต่เป็นการหักเหลี่ยมเฉือนคม แบบใครเก๋าเกมส์กว่ากันแบบนั้นมากกว่า อย่างมากสุดก็ได้เห็นฉากแอคชั่นเล็กน้อยจากเฉิน หลงพอให้หายคิดถึงบ้าง ได้เห็นมวยหย่งชุน 1 ชุดเบาๆตอนไฟนอลซีน (รัวหมัดเร็วๆเป็นชุด) แค่นี้ก็ดีใจแล้ว จะให้แกมาวิ่ง สู้ ฟัด เหมือนตอนหนุ่มๆ เกรงว่าสังขารแกคงไม่ไหวเป็นแน่แท้ ส่วนลุงเพียซนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เรื่องนี้แทบจะไม่มีฉากให้ออกแรง เพราะสวมบทเป็นนักการเมืองที่ใช้คำพูด และสมองในการทำงานอย่างเดียว

       ประเด็นที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้ที่ไม่เด่นชัด แต่ผู้กำกับพยายามสอดแทรกเข้ามาตลอดทั้งเรื่อง คือการเหยียดเชื้อชาติ การเรียกร้องความเท่าเทียมของชนชั้น จะเห็นแกแอบเหน็บเข้ามาในหนังตลอด (ซึ่งน่าจะเป็นที่มาของชื่อ The Foreigner) มีอยู่ฉากหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ตอนที่เฉิน หลง ไปพบกับ ผบ.ตร.แล้วโดนถามเกี่ยวกับชาติกำเนิด ที่มาจากเมืองจีน แต่เฉินหลงกลับตอบกลับไปว่า "ผมเป็นพลเมืองอังกฤษตั้งแต่ปี 1970" ซึ่งน่าจะเป็นการเหน็บตำรวจตคนนั้น ซึ่งแกก็เป็นคนผิวสีและที่สำคัญลุงเฉิน หลง แกน่าจะอยู่ที่นี่ก่อนตำรวจคนนั้นจะเกิดด้วยซ้ำ...

       ในช่วงแรกของหนัง เฉิน หลง มีคาแรคเตอร์ที่น่าสงสารมาก ลูกเมียตาย กลายเป็นชายชราขี้เหงา ที่ยึดติดกับอดีต สารภาพตามตรงว่า 20 นาทีแรกที่นั่งดูแววตา สีหน้า การแสดงของแกนี่ เราแอบอิน และน้ำตาซึมกับคาแรคเตอร์นี้มาก แต่พอระเบิดลูกแรกที่ประดิษฐ์ขึ้นมา เกิดทำงานเท่านั้นแหละ...เรานี่ร้องเชี่ยดังมาก!!! ตกใจว่ามึงเป็นใครกันแน่!??!! ซึ่งหลังจากนั้น เราไม่สงสารแกอีกเลย แต่สงสารลุงเพียซ เพราะกำลังจะโดนเสือเฒ่าตัวหนึ่งไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่

       อย่างนึงที่เราชขอบในหนังเรื่องนี้คือการที่ผู้กำกับ ให้เกียรติดารายุค 70s เกือบ 80s ทั้งสองคนนี้ด้วยการใส่ดนตรีประกอบแบบ Sync Wave (พวกเพลงอิเลคทรอนิกส์แบบ Tron อะไรเทือกนั้น) ซึ่งแกใช้ในจังหวะที่เหมาะสม และทำให้เราคิดถึงสมัยเด็กๆ ที่ได้ดูหนังเก่าๆ ก็แหงล่ะ แกก็เป็นผู้กำกับในยุคนั้นเหมือนกัน (007 Golden Eye กับลุงเพียซ บอสแนน นี่แหละ)

       สรุปหนังเรื่องนี้ดีนะ อย่างที่บอกว่าไปดูสองพยัคฆ์จากยุค 70s ตัดเหลี่ยมเฉือนคมกัน สนุกดีครับ

       7/10 คะแนนจร้าา <3

       ป.ล.จริงๆเรื่องนี้ไปดูมาก่อน Blade Runner แล้วนะ แต่เราอยากเขียนรูปเอง รีวิวเลยออกมาช้านิดนึงจร้าา

bottom of page